อายุก่อน 30 ก็เสี่ยง! มะเร็งปากมดลูก | Cervical Cancer สาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของผู้หญิงไทย โดยพบได้ตั้งแต่ผู้หญิงอายุก่อน 30 ปี ส่วนใหญ่มักพบในช่วงอายุระหว่าง 35 – 50 ปี
สัญญาณเตือน อาการมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูก มักไม่แสดงอาการในระยะแรก หมั่นสังเกตอาการของตนเอง
ตกขาวผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด มีตกขาวมากกว่าปกติ หรือตกขาวมีเลือดปน
เลือดออกจากช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ เลือดออกหลังจากหมดประจำเดือน
ปวดท้องน้อย ปวดบริเวณหัวหน่าว
ประจำเดือนมาไม่ปกติ
เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
ปัสสาวะ/อุจจาระปนเลือด
ปัสสาวะไม่ค่อยออก ปวดบวม
ปวดหลัง ขาบวม ไตวาย (กรณีที่มะเร็งมีระยะลุกลามรุนแรง)
น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
มะเร็งปากมดลูก ป้องกันได้ หากรู้จักวิธีการป้องกันตนเอง และหมั่นไปตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ
ค้นหาความเสี่ยง ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก แบบไหนดี?
การตรวจภายใน ไม่สามารถพบก้อนมะเร็งปากมดลูกชัดเจน ต้องตรวจยืนยันโดยการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
ตรวจแพปสเมียร์ (Pep Smear) เป็นการตรวจทางเซลล์วิทยา สามารถตรวจพบเซลล์มะเร็ง ซึ่งต้องทำการสืบค้นต่อ โดยการตรวจภายใน และตรวจด้วยกล้องขยาย เพื่อ ตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
การตรวจด้วยวิธี ThinPrep Pap Test เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยเก็บตัวอย่างเซลล์ด้วยของเหลว สามารถเก็บตัวอย่างเซลล์ได้มากกว่า และนำไปตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ต่อได้โดยไม่ต้องเก็บตัวอย่างซ้ำ
การตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ด้วยวิธีการตรวจ DNA แบ่งเป็นการตรวจร่วมกับการตรวจทางเซลล์วิทยา และการตรวจหาเชื้อไวรัส HPV เพียงอย่างเดียว วิธีการตรวจนี้สามารถระบุสายพันธ์ุของเชื้อไวรัสได้ และสามารถค้นพบรอยโรคได้เร็ว
ตรวจด้วยกล้องขยาย (Colposcope) ตรวจร่วมกับการตัดชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา
การตรวจวิธีอื่นๆ ที่อาจช่วยในการวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูก
การขูดภายในปากมดลูก
การตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า
การตัดปากมดลูกออกเป็นรูปกรวยด้วยมีด
ตรวจภายใน ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด! ตรวจภายในสำคัญอย่างไร? ต้องตรวจอะไรบ้าง?
มะเร็งปากมดลูกมีกี่ระยะ?
ระยะของโรคมะเร็งปากมดลูก แบ่งออกเป็น ระยะก่อนมะเร็ง และระยะลุกลาม
ระยะก่อนมะเร็ง หรือระยะลุกลาม ระยะนี้เซลล์มะเร็งยังอยู่ภายใจชั้นเยื่อบุผิวปากมดลูก ไม่ลุกลามเข้าไปในเนื้อปากมดลูก ผู้ป่วยจะไม่มีอาการผิดปกติเลย แต่ตรวจพบได้ด้วยการตรวจคัดกรองทางเซลล์วิทยา หรือ ตรวจแพปสเมียร์ (Pep Smear)
ระยะลุกลาม แบ่งออกเป็น 4 ระยะย่อย คือ
ระยะที่ 1 มะเร็งลุกลามอยู่ภายในปากมดลูก
ระยะที่ 2 มะเร็งลุกลามไปที่เนื้อเยื่อข้างปากมดลูก และ (หรือ) ผนังช่องคลอดส่วนบน
ระยะที่ 3 มะเร็งลุกลามไปที่ด้านข้างของเชิงกราน และ (หรือ) ผนังช่องคลอดส่วนล่าง หรือกดท่อไตจนเกิดภาวะไตบวมน้ำ
ระยะที่ 4 มะเร็งลุกลามไปที่กระเพาะปัสสาวะ ไส้ตรง หรืออวัยวะอื่นๆ เช่น ปอด กระดูก และต่อมน้ำเหลืองนอกเชิงกราน เป็นต้น
มะเร็งปากมดลูก รักษาได้ไหม?
การรักษาโรคมะเร็งปากมดลูก จะแบ่งออเป็นตามระยะอาการ ดังนี้
ระยะก่อนมะเร็ง หรือระยะก่อนลุกลาม รักษาได้หลายวิธี ได้แก่
การตรวจติดตามอย่างใกล้ชิด โดยการตรวจภายใน ตรวจแพปสเมียร์ (Pep Smear) และการตรวจด้วยกล้องขยาย (Colposcope) ทุก 4-6 เดือน รอยโรคบางชนิดสามารถหายไปได้เองภายใน 1-2 ปี
การจี้ปากมดลูกด้วยความเย็น
การตัดปากมดลูกออกเป็นรูปกรวยด้วยมีด
ระยะลุกลาม การเลือกวิธีในการรักษาขึ้นอยู่กับโรคประจำตัวของผู้ป่วย และระยะของมะเร็ง
ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 บางราย รักษาโดยการตัดมดลูกออกแบบกว้าง ร่วมกับการเลาะต่อมน้ำเหลืองเชิงกรานออก
ระยะที่ 2 ถึงระยะที่ 4 รักษาโดยการฉายรังสีร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด
มะเร็งปากมดลูก ตรวจ = ป้องกัน
หนึ่งในวิธีการป้องกันที่ดีที่สุด คือ การฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวี (HPV) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งปากมดลูก และตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุก 2-3 ปี สามารถตรวจคัดกรองได้โดย แพปสเมียร์ (Pap Smear) และการตรวจหาเชื้อ HPV
วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส HPV สามารถป้องกันการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ในการฉีดวัคซีนจะต้องฉีดทั้งหมด 3 เข็ม โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และจะต้องฉีดเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1-2 เดือน และเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มแรก 6 เดือน วัคซีนนี้จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อฉีดให้กับเด็กผู้หญิง หรือสตรีที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์ และหากเป็นสตรีที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว วัคซีนจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพกับผู้ที่ยังไม่มีการติดเชื้อ HPV หรือไม่มีเซลล์ผิดปกติ